๏ โอ้รอนรอนอ่อนแสงพระสุริย์ฉาย | |
ท้องฟ้าคล้ำน้ำค้างลงพร่างพราย | พระพายชายชื่นเชยรำเพยพาน |
อนาถหนาวคราวอาสาเสด็จ | ไปเมืองเพชรบุรินที่ถิ่นสถาน |
ลงนาวาหน้าวัดนมัสการ | อธิษฐานถึงคุณกรุณา |
ช่วยชุบเลี้ยงเพียงชนกที่ปกเกศ | ถึงต่างเขตของประสงค์คงอาสา |
จึงจดหมายรายทางกลางคงคา | แต่นาวาเลี้ยวล่องเข้าคลองน้อยฯ |
| |
๏ ได้เห็นแต่แพแขกที่แปลกเพศ | ขายเครื่องเทศเครื่องไทยได้ใช้สอย |
ถึงวัดหงส์เห็นแต่หงส์เสาธงลอย | เป็นหงส์ห้อยห่วงธงใช่หงส์ทอง |
ถึงวัดพลับลับลี้เป็นที่สงัด | เห็นแต่วัดสังข์กระจายไม่วายหมอง |
เหมือนกระจายพรายพลัดกำจัดน้อง | มาถึงคลองบางลำเจียกสำเหนียกนาม |
ลำเจียกเอ๋ยเคยชื่นระรื่นรส | ต้องจำอดออมระอาด้วยหนาหนาม |
ถึงคลองเตยเตยแตกใบแฉกงาม | คิดถึงยามปลูกรักมักเป็นเตย |
จนไม่มีที่รักเป็นหลักแหล่ง | ต้องคว้างแคว้งคว้าหานิจจาเอ๋ย |
โอ้เปลี่ยวใจไร้รักที่จักเชย | ชมแต่เตยแตกหนามเมื่อยามโซ |
ถึงบางหลวงล่วงล่องเข้าคลองเล็ก | ล้วนบ้านเจ๊กขายหมูอยู่อักโข |
เมียขาวขาวสาวสวยล้วนรายโป | หัวอกโอ้อายใจมิใช่เล็ก |
ไทยเหมือนกันครั้นว่าขอเอาหอห้อง | ต้องขัดข้องแข็งกระด้างเหมือนอย่างเหล็ก |
มีเงินงัดคัดง้างเหมือนอย่างเจ๊ก | ถึงลวดเหล็กลนร้อนอ่อนละไมฯ |
| |
๏ ถึงวัดบางนางชีมีแต่สงฆ์ | ไม่เห็นองค์นางชีอยู่ที่ไหน |
หรือหลวงชีมีบ้างเป็นอย่างไร | คิดจะใคร่แวะหาปรึกษาชี |
ก็มืดค่ำอำลาทิพาวาส | เลยลีลาศล่วงทางกลางวิถี |
ถึงวัดบางนางนองแม้นน้องมี | มาถึงที่ก็จะต้องนองน้ำตา |
ตัวคนเดียวเที่ยวเล่นไม่เป็นห่วง | แต่เศร้าทรวงสุดหวังที่ฝั่งฝา |
ที่เห็นเห็นเป็นแต่ปะได้ประดา | ก็ลอบรักลักลาคิดอาลัย |
จะแลเหลียวเปลี่ยวเนตรเป็นเขตสวน | มะม่วงพรวนหมากมะพร้าวสาวสาวไสว |
พฤกษาออกดอกลูกเขาปลูกไว้ | หอมดอกไม้กลิ่นกลบอบละอองฯ |
| |
๏ โอ้รื่นรื่นชื่นเชยเช่นเคยหอม | เคยถนอมนวลปรางมาหมางหมอง |
ถึงบางหว้าอารามนามจอมทอง | ดูเรืองรองรุ่งโรจน์ที่โบสถ์ราม |
สาธุสะพระองค์มาทรงสร้าง | เป็นเยี่ยงอย่างไว้ในภาษาสยาม |
ในพระโกศโปรดปรานประทานนาม | โอรสราชอารามงามเจริญ |
มีเขื่อนรอบขอบคูดูพิลึก | กุฏิตึกเก๋งกุฏิ์สุดสรรเสริญ |
ที่ริมน้ำทำศาลาไว้น่าเพลิน | จนเรือเดินมาถึงทางบางขุนเทียน |
โอ้เทียนเอ๋ยเคยแจ้งแสงสว่าง | มาหมองหมางมืดมิดตะขวิดตะเขวียน |
เหมือนมืดในใจจนต้องวนเวียน | ไม่ส่องเทียนให้สว่างหนทางเลยฯ |
| |
๏ บางประทุนเหมือนประทุนได้อุ่นจิต | พอป้องปิดเป็นหลังคานิจจาเอ๋ย |
หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย | ได้พิงเขนยนอนอุ่นประทุนบังฯ |
| |
๏ ถึงคลองขวางบางระแนะแวะข้างขวา | ใครหนอมาแนะแหนกันแต่หลัง |
ทุกวันนี้วิตกเพียงอกพัง | แนะให้มั่งแล้วก็เห็นจะเป็นการฯ |
| |
๏ ถึงวัดไทรไทรใหญ่ใบชอุ่ม | เป็นเซิงซุ้มสาขาพฤกษาศาล |
ขอเดชะพระไทรซึ่งชัยชาญ | ช่วยอุ้มฉานไปเช่นพระอนิรุธ |
ได้ร่วมเตียงเคียงนอนแนบหมอนหนุน | พออุ่นอุ่นแล้วก็ดีเป็นที่สุด |
จะสังเวยหมูแนมแก้มมนุษย์ | เทพบุตรจะได้ชื่นทุกคืนวันฯ |
| |
๏ ถึงบางบอนบอนที่นี่มีแต่ชื่อ | เขาเลื่องลือบอนข้างบางยี่ขัน |
อันบอนต้นบอนน้ำตาลย่อมหวานมัน | แต่ปากคันแก้ไขมิใคร่ฟังฯ |
| |
๏ ถึงวัดกกรกร้างอยู่ข้างซ้าย | เป็นรอยรายปืนพม่าที่ฝาผนัง |
ถูกทะลุปรุไปแต่ไม่พัง | แต่โบสถ์ยังทนปืนอยู่ยืนนาน |
แม้นมั่งมีมิให้ร้างจะสร้างฉลอง | ให้เรืองรองรุ่งโรจน์โบสถ์วิหาร |
ด้วยที่นี่ที่เคยตั้งโขลนทวาร | ได้เบิกบานประตูป่าพนาลัยฯ |
| |
๏ โอ้อกเอ๋ยเลยออกประตูป่า | กำดัดดึกนึกน่าน้ำตาไหล |
จะเหลียวหลังสั่งสาราสุดาใด | ก็จนใจด้วยไม่มีไมตรีตรึง |
ช่างเป็นไรไพร่ผู้ดีก็มิรู้ | ใครแลดูเราก็นึกรำลึกถึง |
จะปรับไหมได้หรือไม่อื้ออึง | เป็นที่พึ่งพาสนาพอพาใจ |
โอ้นึกนึกดึกเงียบยะเยียบอก | เห็นแต่กกกอปรงเป็นพงไสว |
ลดาวัลย์พันพุ่มชอุ่มใบ | เรไรไพเราะร้องซ้องสำเนียง |
เสียงกรอดเกรียดเขียดกบเข้าขบเขี้ยว | เหมือนกรับเกรี้ยวกรอดกรีดวะหวีดเสียง |
หริ่งหริ่งแร่แม่ม่ายลองไนเรียง | แซ่สำเนียงหนาวในใจรำจวน |
เหมือนดนตรีปี่ป่าประสายาก | ทั้งสองฟากฟังให้อาลัยหวน |
ดังขับขานหวานเสียงสำเนียงนวล | เมื่อโอดครวญคราวฟังให้วังเวงฯ |
| |
๏ ถึงศีรษะกระบือเป็นชื่อบ้าน | ระยะย่านยุงชุมรุมข่มเหง |
ทั้งกุมภากล้าหาญเขาพานเกรง | ให้วังเวงวิญญาณ์เอกากาย |
ถึงศิษย์หามาตามเมื่อยามเปลี่ยว | เหมือนมาเดียวแดนไพรน่าใจหาย |
ถึงศีรษะละหานเป็นย่านร้าย | ข้างฝั่งซ้ายแสมดำเขาทำฟืน |
ถึงโคกขามคร้ามใจได้ไต่ถาม | โคกมะขามดอกมิใช่อะไรอื่น |
ไม่เห็นแจ้งแคลงทางเป็นกลางคืน | ยิ่งหนาวชื้นช้ำใจมาในเรือ |
ถึงย่านซื่อสมชื่อด้วยซื่อสุด | ใจมนุษย์เหมือนกระนี้แล้วดีเหลือ |
เป็นป่าปรงพงพุ่มดูครุมเครือ | เหมือนซุ้มเสือซ่อนร้ายไว้ภายใน |
ถึงบ้านขอมลอมฟืนดูดื่นดาษ | มีอาวาสวัดวาที่อาศัย |
ออกชะวากปากชลามหาชัย | อโณทัยแย้มเยี่ยมเหลี่ยมพระเมรุฯ |
| |
๏ ข้างฝั่งซ้ายชายทะเลเป็นลมคลื่น | นภางค์พื้นเผือดแดงดังแสงเสน |
แม่น้ำกว้างว้างเวิ้งเป็นเชิงเลน | ลำพูเอนอ่อนทอดยอดระย้า |
หยุดประทับยับยั้งอยู่ฝั่งซ้าย | แสนสบายบังลมร่มรุกขา |
บรรดาเรือเหนือใต้ทั้งไปมา | คอยคงคาเกลื่อนกลาดไม่ขาดคราว |
บ้างหุงต้มงมงายทั้งชายหญิง | บ้างแกงปิ้งปากเรียกกันเพรียกฉาว |
เสียงแต่ตำน้ำพริกอยู่กริกกราว | เหมือนเสียงส้าวเกราะโกร่งที่โรงงานฯ |
| |
๏ เห็นฝูงลิงวิ่งตามกันสอสอ | มาคอยขอโภชนากระยาหาร |
คนทั้งหลายชายหญิงทิ้งให้ทาน | ต่างลนลานล้วงได้เอาไพล่พลิ้ว |
เวทนาวานรอ่อนน้อยน้อย | กระจ้อยร่อยกระจิริดจิดจีดจิ๋ว |
บ้างเกาะแม่แลโลดกระโดดปลิว | ดูหอบหิ้วมิให้ถูกตัวลูกเลยฯ |
| |
๏ โอ้พ่อแม่แต่ชั้นลิงไม่ทิ้งบุตร | เพราะแสนสุดเสน่หานิจจาเอ๋ย |
ที่ลูกอ่อนป้อนนมนั่งชมเชย | กระไรเลยแลเห็นน่าเอ็นดู |
แต่ลิงใหญ่อ้ายทโมนมันโลนเหลือ | จนชาวเรือเมินหมดด้วยอดสู |
ทั้งลิงเผือกเทือกเถามันเจ้าชู้ | ใครแลดูมันนักมันยักคิ้ว |
บ้างกระโดดโลดหาแต่อาหาร | ได้สมานยอดแสมพอแก้หิว |
เขาโห่เกรียวประเดี๋ยวใจก็ไพล่พลิ้ว | กลับชี้นิ้วให้ดูอดสูตาฯ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น